24 ส.ค. 2551

ประวัติศาสตร์อียิปต์

บทปฐมกาล
เมื่อราว หนึ่งหมื่นปีก่อน ทะเลทรายซาฮารายังเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าและพืชพรรณนานาชนิด ในท้องทุ่งอุดมไปด้วยสัตว์ป่าอย่างช้างและแอนทีโลป มนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ในช่วงแรกดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์ และทำปศุสัตว์จวบจนกระทั่งเมื่อราวเจ็ดพันปีก่อนการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ซาฮารา ค่อยๆแห้งแล้ง และกลายเป็นทะเลทรายในท้ายที่สุดก็เหลือแต่เพียงพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำไนล์เท่านั้นที่ยังคงความสมบูรณ์อยู่ และเนื่องจากทุกปีแม่น้ำไนล์จะพัดเอา ตะกอนหน้าดินมาถมฝั่ง ทำให้พื้นดินแห่งนี้มีความอุดม สมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนเริ่มอพยพจากพื้นที่รอบนอกเข้ามาจับจองพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและเริ่มมีการเพาะปลูกขึ้น เผ่าชนเหล่านี้มาอาศัย รวมกันตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์และแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ เรียกว่าโนมส์
ในแต่ละโนมส์จะปกครองโดยกลุ่มนักบวชซึ่งพัฒนามาจากหมอผีในสมัยหินใหม่ ต่อมาความจำเป็นในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ทำให้ต้องมีการจัดระบบชลประทานขึ้น หัวหน้ากรรมกรผู้ควบคุมการ ชลประทานเหล่านี้ได้ถูกยกย่องให้เป็นหัวหน้านักรบของโนมส์ เมื่อขนาดของชุมชนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆก็มีการพัฒนาเป็นนครรัฐขนาดเล็กกระจัดกระจายตาม ริมฝั่งแม่น้ำดินแดนของแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์เป็น อียิปต์บนและอียิปต์ล่าง
ดินแดนของแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์เป็น อียิปต์บนและอียิปต์ล่าง เนื่องจากแม่น้ำไนล์ไหลจากทางใต้ขึ้นสู่ทางเหนือ ดังนั้นอียิปต์บนจะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำไนล์อันเป็นทิศที่แม่น้ำไหลมาพื้นที่ส่วนนี้มี ทุ่งหญ้าและเขตป่าละเมาะที่เหมาะแก่การล่าสัตว์และทำปศุสัตว์ ส่วนอียิปต์ล่างจะตั้งบริเวณทิศเหนือซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำไหลลงทะเลและมีพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่สมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกในช่วงเวลานั้นอียิปต์ล่างมีเมืองการค้าและศูนย์กลางที่สำคัญชื่อว่า บูโท ส่วนทางอียิปต์บนพลเมืองจะอาศัยอยู่หนาแน่นบริเวณเมืองนากาดา และเฮียราคอนโพลิส
กำเนิดแห่งอาณาจักร ในราว 3200ปีก่อนคริสตกาล ราชาแมงป่อง (Scorpion king) ผู้ครองนครธีส (This) อันตั้งอยู่บริเวณตอนกลางแห่งลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ เข้ายึดครองนครรัฐต่างๆในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน ราชาแมงป่องปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกันแต่พระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์(ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มีแสดงว่าทั้งสองพระองค์น่าจะเกี่ยวดองกัน)นามว่า นาเมอร์(Namer)ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของ ฟาโรห์เมเนส(Menese)พระองค์สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จและ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส (Memphis) ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ฟาโรห์เมเนสเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่หนึ่งของอียิปต์โบราณ
อักษรอียิปต์: ชาวอียิปต์ใช้อักษรภาพที่เรียก ว่าเฮียโรกลิฟฟิค (Hieroglyphic) ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นรูปภาพและแบบที่เป็นสัญลักษณ์ประกอบเป็นคำ โดยจะบันทึกลงในแผ่นหินและม้วนกระดาษปาปิรัสซึ่งทำจากต้นกก ตัวอักษรอียิปต์มีประมาณ 1000 ตัว ในสมัยก่อน ผู้ที่สามารถอ่านเขียน อักษรเฮียโรกลิฟฟิคได้คล่องแคล่วจะมีโอกาสได้ทำงานเป็นอาลักษณ์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสที่จะเลื่อนขึ้นเป็นขุนนาง หรือนักบวชสำคัญได้ สำหรับอักษรของอียิปต์นั้น นับแต่อารยธรรมล่มสลายลงไปก็ไม่มีใครสามารถตีความได้ จนกระทั่งได้มีการค้นพบ ศิลาจารึก โรเซทต้า (ROSETTA) ในปี ค.ศ. 1799 ที่มีจารึกอักษรเฮียโรกลิฟฟิคกับอักษรกรีกโบราณเอาไว้ ฟรองซัวส์ ชองโพลียอง ใช้วิธีการค้นคว้าโดยอ่านเทียบกับอักษรกรีกโบราณ และสามารถตีความได้สำเร็จในปี 1822
อักษรเฮียโรกลีฟฟิค มีลักษณะเป็นรูปสัญลักษณ์หนึ่งเท่ากับคำหนึ่งจากนั้นเป็นกลุ่มพยัญชนะ พยัญชนะโดดๆ ไม่มีสระ ใช้ในทางศาสนาต่อจากอักษรเฮียราติค (ภาษาที่่ใช้ทั่วไป) เป็น อักษรเดโมติค(ราว 700 ปีก่อนค.ศ.) เป็นภาษาประจำวัน ปฏิทินอียิปต์มี 365 วัน (12 x 30 + 5) วันแรกของปีเริ่มกลางเดือนกรกฎาคมตรงกับที่แม่น้ำไนล์ล้นฝั่ง ปีที่มี 366 วันไม่มีปรากฎใช้ สมัยต่อมาการนับปีถือเอาเทพเจ้าซิริอุส (โซธิส) เป็นหลัก คือ หนึ่งปีโซธิสมี 365 วันและอีกเศษหนึ่งส่วนสี่

ตัวอย่างอักษรเฮียโรกลิฟฟิค ชื่อของ TUT ANKH AMUN

จากที่ดิฉันได้กล่าวประวัติศาสตร์อียิปต์มาข้างต้นแล้วต่อจากนี้ดิฉันจะนำทุกคนมารู้จักกับราชวงค์ของอียิปต์กันบ้าง

สมัยจักรวรรดิเก่า (2850 - 2052 ปี ก่อนคริสตศักราช)
2850-2650 สมัยธินิท (ราชวงศ์ที่1 และ 2) อียิปต์เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ มีการสู้รบกับพวกเบดวงจากคาบสมุทรซีนาย เพื่อแย่งชิงเหมืองทองแดงมีการติดต่อทางเรือกับเมืองไบโบลส (ในเลบานอนปัจจุบัน) เพื่อซื้อไม้เซดาร์มาใช้ในการก่อสร้างและทำโลงศพของฟาห์โร (กษัตริย์) มีการ ก่อสร้างหลุมศพสำหรับเจ้าเรียกว่า มาสตาบา
2650 - 2190 สมัยปิรามิด (ราชวงศ์ที่ 3 - 6) เมมฟิส เป็นศูนย์กลางทางการเมือง พระเจ้าโจเซอร์ทรงมีพระราชโองการให้อิมโฮเทป ผู้เป็นแพทย์และสถาปนิก เป็นผู้สร้างปิรามิดซัคคาราขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ปิรามิดซัคคารา ประกอบด้วยมาสตาบา 6 หลังซ้อนกัน
ราชวงศ์ที่ 4: จำนวนกษัตริย์ผู้สร้างปิรามิดมีมากมาย ที่มีชื่อเสียง เช่น สเนฟรู (ปิรามิดดาห์ชูร์และแมดูม) เคออป, เคเฟรน, ไมเซรินุส (ปิรามิดกิเซ่ ทางตะวันตกของเมืองไคโร)
ราชวงศ์ที่ 5: ศาสนาประจำชาติ คือการนับถือเทพเจ้าเรหรือรา (เรแห่งเมืองเฮลิโอโปลิส) เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ มีการสร้างวิหารให้เทพเจ้าองค์นี้และสร้างเสาหินสูง
ราชวงศ์ที่ 6: ฟาห์โรอ่อนอำนาจทำให้ขุนนางมีอำนาจมากขึ้น 2190 - 2052 เป็นระยะเวลาที่ต่อระหว่างสองสมัย(ราชวงศ์ที่ 7 ถึงที่ 10 เรียกสมัยเฮราเคลโอโปลิส) รัฐ ตำแหน่งฟาห์โร (บ้านใหญ่) เป็นตำแหน่งสืบทอดฟาห์โร มีอำนาจสูงสุด เช่น ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชของไทยเรามักเห็นอยู่ในรูปของเทพเจ้า-เหยี่ยวโฮรุส (เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) นับจากราชวงศ์ที่ 4 เป็นต้นมา ฟาห์โร เปรียบเสมือนบุตรของเทพเจ้าเร หรือเทพเจ้า-พระอาทิตย์ การบริหารส่วนกลาง ข้าราชการหรือสคริบอยู่ใต้คำบังคับบัญชาของรัฐมนตรี ล้วนมาจากครอบครัวชนชั้นสูง ภาษีจ่ายเป็นข้าวสาลีและสัตว์ใช้งาน เช่น วัว ประชาชนทุกคนมีสิทธิในศาล มีสัมพันธไมตรีกับประเทศซีเรียและพุนท์(โซมาเลีย) ทำสงครามกับประเทศลิเบียและชนเผ่าต่างๆในดินแดนปาเลสไตน์ การศาสนา เริ่มแรกนับถือสิ่งศักด์สิทธิ์มากมาย ซึ่งมีอยู่ในรูปร่างและหัวสัตว์ สมัยประวัติศาสตร์ คนนับถือพระอาทิตย์มาก มีการสร้างวิหารที่สำคัญหลายแห่ง เช่น วิหารของเทพเจ้าอาตอน-เรที่เฮลิโอโปลิส วิหารของเทพเจ้าพทาห์ที่เมมฟิส วิหารของเทพเจ้าโธทที่เฮอร์โมโปลิสเทพเจ้าโอซิริสที่เคยเป็นเทพเจ้าแห่งพืชพันธุ์ไม้ กลายมาเป็นเทพเจ้าของคนตาย คนอียิปต์เชื่อเรื่องเวรกรรม คนตายไปแล้วจะได้รับกรรมที่ทำไว้ และเชื่อเรื่องชาติหน้า

จักรวรรดิ์กลาง (ประมาณ 2052 - 1570 ปี ก่อนคริสตศักราช) หลังจากที่อียิปต์ผ่านสงครามภายในมาหลายปี พระเจ้าเมนทูโฮเทปที่่ 2 ทรงรวม อียิปตบนและอียิปต์ล่างเข้าด้วยกัน และทรงย้ายเมืองหลวงจากเมมฟิสไปที่ธีบส์
1991 - 1786 ตรงกับราชวงศ์ที่ 12 อำนาจการปกครองมารวมอยู่ที่เมืองหลวงอีก เชื้อพระวงศ์ตามเมืองต่างๆหมดอำนาจ มีการก่อสร้างวัดขนาดใหญ่หลายหลังที่คาร์นัค เมืองที่ถือว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าองค์ใหม่ ชื่ออาโมส อียิปต์เจริญสูงสุดในสมัยของ
พระเจ้าเสโซสทริสที่ 3 (1878-1841 ปี ก่อนคริสตศักราช) อียิปต์มีอิทธิพลถึงนูเบีย (ซูดาน) ทางตอนกลางเพราะที่นี่มีเหมืองทองคำ มีการสร้างทางติดต่อการค้าไปทะเลแดง ซีนาย และพุนท์ (โซมาเลีย) เกาะครีตและเมืองโบลส (ในเลบานอน) รัชกาลพระเจ้าอัมเมเนแมสที่ 3 จัดการใช้พื้นที่แถวทะเลสาบมัวริส (ฟายุม) ให้เป็นประโยชน์ สร้างปิรามิดและวัดฮา อูอาราสำหรับคนตาย (Labyrinthe) งานประติมากรรมมีการทำรูปพระเจ้าเสโซสทริสที่ 3 และพระเจ้าเมเนแมสที่ 3 ตอนวัยชรา การทำรูปสฟิงซ์มีหน้าเป็นกษัตริย์ กำเนิดประติมากรรมแบบใหม่ คือ รูปคนท่ายกเข่า สวมเสื้อผ้ายาวจดเท้า ด้านวรรณคดีมีการแต่ง "คำสอนของพระเจ้าอัมเมเนแมสที่ 1" และ "ประวัติศาสตร์ซินูเฮ"
1778 - ประมาณ 1610 ปี ก่อนคริสตศักราช เป็นช่วงคั่นระหว่างสองสมัย (ราชวงศ์ที่ 13-14) สงครามภายในทำให้มีศัตรูจากภายนอกรุกราน การรุกรานของพวกฮิกโซส ประมาณ 1650 ปี ก่อนคริสตศักราช พวกฮิกโซส มาจากชนเผ่าฮูไรท์และเซมิติก (ทางเอเซีย) การรุกรานเป็นผลมาจากการอพยพของพวกอินโด-ยุโรเปี้ยน ราวปี 2,000 ก่อนคริสตศักราช พวกฮิกโซสมีอำนาจเหนือดินแดนอียิปต์ตอนบนพวกเขาเป็นคนชั้นสูงและถิ่นที่เขาอยู่ที่อาวาริส (ทางเดลต้าตะวันออก) ถือว่าเจริญมากของอียิปต์ เนื่องจากเทคนิคอารยธรรมที่เหนือว่าตนเข้าไว้ด้วย

จักรวรรดิใหม่ (1570 - 715 ปี ก่อนคริสตศักราช) พระเจ้าอโมซิสทรงขับไล่พวกฮิกโซสออกจากอาวาริสไปจนถึงดินแดนปาเลสไตน์แล้วทรงตั้งจักรวรรดิใหม่ (ราชวงศ์ที่ 18) กษัตริย์ที่สืบราชสมบัติต่อมา เช่น พระเจ้าอาเมโนฟิสที่ 1 และ ธุทโมซิสที่ 1 ทรงทำให้อียิปต์มีอำนาจมากมีการยกทัพไปเอเซีย(แถวแม่น้ำยูเฟรติส) และนููเบีย สมัยที่อียิปต์เจริญสูงสุดคือสมัยพระนางฮัทเชบสุท พระนางฮัทเชปสุท (1501-1480) ทรงดำเนินนโยบายแบบสันติ สัมพันธไมตรีกับประเทศพุนท์ มีการก่อสร้างมากมายที่สำคัญ คือวัดที่แดร์ เอล-บาห์รี ที่ก่อสร้างภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีคนโปรดของพระนาง ชื่อ เซอเนนมุท เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ พระสวามีขึ้นครองราชต่อ 1480-1488 พระเจ้าธุทโมซิสที่ 3 เป็นระยะเวลาที่ประเทศอียิปต์มีอาณาเขตกว้างไกลถึงแม่น้ำยูเฟรติส (ในอิรัก) 1480 พระองค์ทรงรบชนะซีเรีย ปาเลสไตน์และเฟนีเซีย ด้วยกองทัพทหารรับจ้างและกองทัพรถม้า อาณาจักรมิตานี (ปัจจุบัน คือ อิรักตอนเหนือ) กลายมาเป็นประเทศเพื่อนบ้าน กษัตริย์องค์ต่อๆมาล้วนประสบความสำเร็จในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศทั้งสิ้น 1413-1377 อาเมโนฟิสที่ 3 มีมเหสีมาจากบุคคลธรรมดาถือเป็นสมัยที่รุ่งเรืองมากทรงมีนโยบายผูกสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศด้วยการอภิเษกสมรส เป็นสมัยที่อียิปต์ต้อนรับทูตจากต่างประเทศมาก และมีการค้าขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน กับอาณาจักรมิตานี บาบิโลเนีย ครีต อัสซีเรีย อาณาจักรฮิตไทท์ และหมู่เกาะในทะเลเอเจียน (แผ่นดินเหนียวที่พบที่เมืองอามาร์นา จารึกเป็นภาษาอัคคาเดียน ซึ่งเป็นภาษาท่ี่ใช้ในทางการทูตสมัยนั้น) 1377-1358 อาเมโนฟิสที่ 4 ทรงมีมเหสีที่รู้จักกันดี คือ พระนางเนเฟอร์ติติ กษัตริย์พระองค์นี้ทรงเป็นผู้นำการนับถืออาตอน หรือ การนับถือดวงอาทิตย์เป็นพระเจ้าองค์เดียวให้แก่อียิปต์ ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อาเคท-อาตอน (เอล-อามาร์นา) ทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์ใหม่เป็น อาเคนาตอน พระองค์ไม่สนพระทัยในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้่นประเทศอียิปต์จึงค่่อยๆ สูญเสียดินแดนในเอเซีย เมื่อทรงสิ่้นพระชนม์ชนชั้น นักบวชถือโอกาสนำประเทศกลับมาใช้ระบบเดิม พระราชบุตรเขยทั้งหลายพร้อมใจกันย้ายเมืองหลวงกลับมาอยู่ที่ธีบส์ตามเดิม หนึ่งในราชบุตรเขยมีตุตอนคามอน ท่ี่นักโบราณคดีพบหลุมฝังศพเต็มไปด้วยของมีค่าเมื่อ ค.ศ.1922 โฮเรมเฮบ นายทหารของอาเคนาตอนขึ้นครองราชย์ ทำสงครามชนะพวกฮิทไทท์ในซีเรียและจัดระเบียบการปกครองใหม่ให้เข้มงวดกว่าเดิม ทรงทะนุบำรุงศาสนานำพิธีนับถือพระเจ้าแบบเก่ามาใช้ปนกับวิธีของเอล-อามาร์นา
1345 - 1200 ราชวงศ์ที่19 พระเจ้าเซติที่ 1 และพระเจ้ารามเสสที่ 2 ทรงชนะพวกฮิทไทท์และมีอำนาจเหนือซีเรียอีกประมาณ 1275 ปี ก่อนคริสตศักราช เกิดสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างพระเจ้ารามเสสที่ 2 กับฮาทตูซิลที่ 3 กษัตริย์ของพวกฮิทไทท์ ซีเรียสามารถอยู่อย่างสงบอียิปต์ตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เดลต้า ชื่อ อาวาริส แปลว่าเมืองของรามเสส 1234 - ประมาณ 1220 พระเจ้าเมเนปทาห์ยกกองทัพไปทำสงครามกับปาเลสไตน์ (ปรากฎชื่ออิสราเอลเป็นครั้งแรกในจารึก) และได้ต่อสู้กับชนชาวทะเล(มีพวกกรีกและฟีลิสติน แถวกาซาปัจจุบัน) แต่มีสัมพันธไมตรีกับลิเบีย 1197-1165 พระเจ้ารามเสสที่ 3 ทรงต่อสู้กับชนชาวทะเลและลิเบียที่มารุกรานแต่ถูกพระองค์ทรงขับไล่ออกไปทรงสร้่างคุกไว้ที่เดลต้า กษัตริย์ต่อจากพระองค์ทรงให้วัดเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิิจ ศิลปกรรม มีการสร้างวัดขนาดใหญ่ เช่น วัดพระเจ้าอามอนที่คาร์นัค ลุกซอร์ เมดิเนท์-ฮาบู ศิลปกรรมที่่่่เมืองอามาร์นา (เศียรของอาเคนาตอนและเนเฟอร์ติติ รูปประติมากรรมของครอบครัว) ในรัชกาลของพระเจ้ารามเสส นิยมสร้างห้องขนาดใหญ่ที่คาร์นัค สร้างวัดที่เจาะเข้าไปในหิน ผนังเต็มไปด้วยภาพวาดแบบที่อาบู ซิมเบล ภายนอกมีรูปสลักขนาดมหึมาและนิยมสร้างวัดสำหรับเป็นที่ไว้ศพอย่างเช่นที่เมดิเนท์-ฮาบูหลังจากที่สู้รบกับพวกพระอามอนที่ธีบส์และกับนายทหารจ้างของลิเบียแล้ว 950 ปีก่อนค.ศ. พระเจ้าเชช องค์ที่ 1 นายทหารจ้างลิเบียขยายอาณาเขตออกไปรอบๆบูบาสติส พวกพระส่วนหนึ่งจึงอพยพไปอยู่นูเบีย ที่ซึ่งพระองค์ต่อๆมา สร้างรัฐที่ปกครองโดยพระขึ้นมา มีเมืองนาปาตาเป็นเมืองหลวง (ราว 750 ปี ก่อนคริสตศักราช) ประมาณ 920 ปี ก่อนคริสตศักราช กองทัพของพระเจ้าเชชองค์ที่ 1 ยกทัพไปตีปาเลสไตน์และทำลายเมืองเยรูซาเล็ม สมัยอียิปต์ต่ำ (715-332 ปีก่อนค.ศ.)715-663 เอธิโอเปียมีอำนาจเหนืออียิปต์ แต่ไม่นานก็ถูกอัสซีเรียรุกรานจนสูญเสียอำนาจนี้ไป พระเจ้าอัสซาราดดอนยกทัพมาถึงเมืองธีบส์ปี 671 ก่อนค.ศ. แต่พวกเอธิโอเปียขับไล่ออกไปได้662 พระเจ้าอัสสูร์บานิปาลได้รับชัยชนะเหนืออียิปต์ อียิปต์กลายเป็นเมืองหนึ่งของอัสซีเรีย ผู้ครองโนม (จังหวัด) เป็นเสมือนเจ้าครองเมืองของอัสซีเรียหนึ่ง ในจำนวนนี้มี พระเจ้าพซามเมติกที่ 1 (663-609) เป็นผู้ปลดปล่อยอียิปต์ให้เป็นอิสระ และให้พวกพระอามอนเป็นทหารจ้างลิเบียก่อตั้งหน่วยทหารจ้างไอโอเนียนที่เดลต้าและตั้งสถานีการค้าไอโอเนียน (โนเครติส)569-525 พระเจ้าอามาซิส เป็นรัชกาลที่อียิปต์รุ่งเรืองขึ้นอีกเป็นครั้งสุดท้ายเพราะสามารถควบคุมสถานการณ์ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกได้และมีสัมพันธไมตรีกับเกาะต่างๆ ของกรีกและแม้แต่อาณานิคมกรีก อียิปต์ผูกไมตรีกับพระเจ้าเครซุสแห่งลิเดียและกับพระเจ้าโปลีคราทแห่งซาโมสเพื่อต่อสู้กับพวกเปอร์เซีย525 พระเจ้าพซามเมติกที่ 3 พระโอรสของพระองค์ถูกพระเจ้าคอมบิสแห่งเปอร์เซียฆ่าตายในการรบที่เปลุส อียิปต์กลายเป็นเมืองหนึ่งของเปอร์เซีย332 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชชนะต่ออียิปต์ ตั้งแต่ปี 304 ก่อนคริสตศักราชเป็นต้นมา เหล่ากษัตริย์ปโตเลมีของกรีกเฮเลนิสติกมาครองอียิปต์ 30 ปี ก่อนคริสตศักราชโรมันมาครอง อียิปต์

ความเขี่อของชาวอียิปต์- ชาวอียิปต์โบราณมีคติเกี่ยวกับเรื่องชีวิตหลังความตาย ซึ่งเชื่อกันว่าดวงวิญญาณจะกลับมาเข้าร่างในวันหนึ่งข้างหน้า จึงคิดวิธีการทำ มัมมี่ ขึ้นมาเพื่อรักษาสภาพศพเอาไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย หรือพยายามหาวิธีให้ศพคงสภาพสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

วิธีการทำมัมมี่- การทำมัมมี่มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ ร่างของคนตายจะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าหรือเสื่อ อย่างลวกๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบๆภายในพื้นทรายซึ่งลึกลงไปไม่กี่ฟุต ทั้งนี้เพราะความร้อนของทะเลทรายทำให้ศพอยู่ ในสภาพที่เหมือนถูกอบแห้งด้วยวิธีการอาศัยปัจจัยทางธรรมชาติ
- ในยุคราชวงศ์แรกของอียิปต์หรือราว 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ศพของชาวอียิปต์ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าลินินซึ่งอาบน้ำยาและมัดไว้ อยางแน่นหนา ล่วงเลยมาจนถึงราชวงศ์ที่ 2 ของอียิปต์ ราว 2,800 ปีก่อนคริสศักราช การห่อศพจึงเริ่มพิถีพิถันมากขึ้น โดนมีการพันผ้าลินินอาบน้ำยารอบตัวทั้งบริเวณหัว แขน ขา หน้าอก ท้องและลำตัวจนเห็นเห็นรูปทรงของคน รวมทั้งบริเวณนิ้วมือ ก็มีการพัน
- ช่วงปลายราชวงศ์ที่ 3 แห่ง อียิปต์โบราณ มีการผ่าพระศพของกษัตริย์หรือองค์ฟาโรห์และพระราชวงศ์ เพื่อนำเอาอวัยวะภายใน อันเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ศพเน่าเปื่อย ออกมาดองไว้ต่างหากด้วยตัวยาที่เชื่อว่าสามารถป้องกันการเน่าเปื่อยได้ เช่นแช่ไว้ด้วยของเหลวที่เรียกว่า เนตรอน ( Natron ) อันเป็นสารละลายของโซดาชนิดหนึ่งดังเช่นการค้นพบพระบรมศพของ ราชินี เฮเตเฟเรส ( Hetepheres ) พระชายาแห่ง สเนฟูรู ( Snefru ) ซึ่งเป็นพระชนนีของฟาโรห์คีออปส์( ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ ปิรามิด แห่งคีออปส์ ) ปรากฎว่าอวัยวะภายในของพระนางถูกดองเอาไว้และมีการปิดผนึกอย่างดี สามารถคงสภาพไว้ได้เป็นเวลาถึง 4,000 ปี วิธีการนำอวัยวะออกมาดองนี้ต่อมาได้แพร่หลายสู้พวกอัศวินหรือขุนนางและบุคคลสำคัญอื่นๆ สหรับช่องท้องนั้นได้ถูกยัดไว้ด้วยผ้า ลินินอาบน้ำยา
- ในช่วงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อียิปโบราณที่ 4-5 หรือราว 2570-2450 ก่อนคริสศักราช เทคนิคการทำมัมม ี่ได้วิวัฒนาการใช้ยางสนแสดงรูปลักษณ์ภายนอกของมัมมี่ซึ่งมี ความคงทนถาวรถึงขนาดขนคิ้วหรอกหนวดของผู้ตายยังแสดง ออกให้เห็น ดังเช่นมัมมี่ของ เพตริค ( Petric ) ซึ่งค้นพบโดย วิลเลี่ยม เอ็ม.เอฟ.เพตริค ( Willam M.F. Petric ) นัก อียิปต์วิทยาชาวอังกฤษ และมัมมี่ของ เยนตี้ ( Yenty ) อัครมหาเสนาบดีในยุคราชวงค์ที่ 5 ( เป้นเพียงข้อสันนิษฐาน ทางประวัติศาสตร )์ ซึ่งถูกบรรจุไว้ในโลงหินแกรนิตสามารถรักษาเค้าหน้าของมัมมี่ ไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ค้นพบโดย ยอร์ช เอ. ไรส์เนอร์ ผู้ขุดพบปิรามิดแห่ง กีซา
- จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าเริ่มมีการใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบหน้าหรือศีรษะและบางทีก็พอกมมมี่ทั้งตัว ในยุคราชวงศ์ ที่ 6 หรือราว 2300 ปีก่อนคริสกาล และมีการเขียนตบแต่งรูปใบหน้าให้สวยงาม ต่อมาจีงมีการสวมทับด้วยหน้ากากซึ่งทำด้วยสาร คาร์ตันเนจ ( Cartonnage ) อันเป็นส่วนผสมของกระดาษ ปาปิรัส ( Papyrus ) กับ ผ้าปลาสเตอร์รวมกับกาว ต่อมาจึงมีการคลุมหรือปิดทันทั้งตัวไม่ใช่เฉพาะส่วนของหน้า และในยุคอาณาจักรของพระเจ้าทีปส์ ( Thebes ) หรือราว 1550 ปีก่อนคริสศักราช ได้มีการดูดมันสมองออกมาจากศพและการฉีดสารเคมีบางอย่างเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ให้คงอยู่ ได้นานที่สุด
โลงศพสำหรับมัมมี่
- ในยุคแรก โลงศพของชาวอียิปต์มีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาปิด และจารึกคำขอความคุ้มครองจากเทพเจ้าเอาไว้ที่ด้านข้าง และได้วิวัฒนาการตามการทำมัมมี่มาตามลำดับ ลักษณะของดลงจึงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปหีบซึ่งทำด้วยไม้และหินแข็ง อย่างหินแกรนิต มีการตบแต่งลวดลายของหีบศพทั้งภายนอกและภายใน จนในที่สุดได้มีการจำลองรูปคนโดยแกะสลักให้มีหน้าตาเป็นรูปคนยืนเหยียดตรงมือทั้งสองผสานไว้ที่หน้าอกดังที่เราพบเห็นกันทั่วไปตามหน้า นิตยสาร หรือภาพถ่าย
- สำหรับอวัยวะภายใน เมื่อมีการนำออกมาดองก็ต้องทำภาชนะสำหรับเก็บรักษา ซึ่งมีชื่อเรียกว่า คาโนปิค ( Canopic ) มาจากชื่อของ คาโนปัส ( Canopus ) นักรบแห่งเมนาเลียส ( Menaleus ) ซึ่งศพของเขาถูกเก็บไว้ในภาชนะรูปตุ่มมีฝาครอบซึ่งคาดนปิคนี้มีอยู่ถึง 4 ใบ เนื่องจากอวัยวะภายในของศพที่สำคัญถูกแบ่งออกเป็น 4 อย่าง ได้แก่ ตับ กระเพาะ ปอด และลำไส้ใหญ่ สำหรับหัวใจนั้นชาวอียิปต์จะไม่นำออก มาจากร่างของศพ
- ฝาครอบของคาโนปิค ต่อมาได้ถูกแกะสลักเป็นรูปของ "ผู้คุ้มครองทั้ง 4 " อันได้แก่ อิมเซตี้ ( Imsety ) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุมาอุเตฟ ( Dewau-Mautef ) แกะสลักเป็นรูปหัวสุนัข ฮาปิ ( Hapy ) แกะสลักเป็นรูปหัวลิง และ เคเบห์สเนเวท ( Kebehsnewet ) แกะสลักเป็นรุปหัวเหยี่ยว
สิ่งที่บรรจุรวมอยู่ในโลงศพ
- นอกจากศำขอมัมมี่แล้วในการทำพิธีของชาวอียิปต์โบราณจะมีการนำข้าวของเครื่อใช้ที่สำคัญใส่ลงไปในโลงด้วย เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และอาวุธ ฯลฯ เพื่อให้ผู้ตายเอาไว้ใช้สอยดังนั้นหีบศพจึงต้องทำเป็นหลายๆชั้นวางซ้อนกัน เพื่อจะให้ได้บรรจุข้าวของเครื่องใช้ และอีกทางหนึ่ง ก็เพื่อป้องกันการรบกวนศำโดยทำให้ซับซ้อนยากแก่การเปิด แต่กลับเป็นเครื่องท้าทายความสามารถของบรรดาเหล่าขดมยและมิจฉาชีพ จึงปรากฎว่าพระบรมศพหรือมัมมี่ขององค์ฟาดรห์ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เลยแม้แต่พระองค์เดียว เห็นจะมีแต่มัมี่ของ ตุตันคามัน ( Tutankhamun ) ฟาโรห์องค์หนึ่งซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อมีการค้นพบกลับเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก และนักอียิปต์ศาสตร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมัมมี่ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่มีการขุดพบมา
- สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้สำหรับคนตายตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณคือ " คนรับใช้" ในยุคแรกใช้วิธีวาดภาพ การปั้นด้วยดินเหนียว หรือสีผึ้ง จนถึงการแกะสลักด้วยไม้ และได้มีการทำตัวแทนของคนรับใช้เป็นรูปมัมมี่เหมือนผู้ตายในยุคราชวงศ์ที่ 12 โดยบรรจุไว้ในหีบศพจำลองซึ่งเรียกว่า "ชาวับติ" ( Chawabti ) ซึ่งมีความหมายว่า " ผู้ขานรับ "
ปิรามิดสถานที่ฝังพระบรมศพ
- หลุม หรือสถานที่ฝังศพของชาวอียิปต์โบราณในยุคเริ่มแรก อาจทำอย่างง่ายๆด้วยการขุดหลุม ฝังในพื้นทราย ต่อมาจึงมีวิวัฒนาการเป็นหลมศพที่มีหลังคา และสำหรับสถานที่ของผู้มีฐานะดีหรือมี ความสำคัญเช่นองค์ฟาโรห์ก็ต้องทำให้วิจิตรพิสดารมากขึ้น จนเกิดการสร้างปิรามิดอันยิ่งใหญ่ในที่สุด
- หลุ่มฝังศพในยุคแรกๆเรียกว่า "มัสตาบา" ( Mastaba ) ลักษณะเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าสร้างด้วยอิฐ ทำไว้เหนือหลุมศพ ต่อมาพัฒนาเป็นการสร้างด้วยหินจนกลายเป็นปิรามิดในยุคเริ่มต้น เรียกว่า ปิรามิดขั้นบันได ลักษณะเป็นทางสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงซ้อนจากใหญ่ไปหาเล็กซึ่งอยู่ทางสูงสุดยอด ต่อมามีการฉาบด้านทั้งสี่ให้เรียบ ส่วนภายนอกออกแบบเป็นห้องหับต่างๆ อย่างสลับซับซ้อนมีทางเดินสถานที่ไว้พระบรมศพขององค์ฟาโรห์ วิหารสำหรับสักการะพระบรมศพ และด้านนอกได้สร้างรูปแกะสลักอสุรกายสฟิงซ์หรือสัตว์ครึ่งคนครึ่งสิงโต ไว้สำหรับเป็นผู้เฝ้าสุสานของฟาโรห์
ความมหัศจรรย์ของปิรามิด
- ปิรามิด เป็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงเลขาคณิตที่มีอายุยาวนานหลายพันปีและเชื่อกันว่าจะคงอยู่ไปอีกหลายพันปี หรือนับ หมื่นปี ฮีโรโดตัส ( Herodotus ) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกได้บันทึกว่า การสร้างปิรามิดนั้น ต้องใช้แรงงาน ของคนราว 10,000- 400,000 ใช้เวลาก่อสร้าง 20 ปี โดนทำงานเพียง 3 เดือนในช่วงหยุดพักจากการทำนา
- ปิรามิดใหญ่กีซา ( The Great Pyramid of Giza ) มีฐานแต่ละด้านยาวประมาณ 756 ฟุต พื้นที่ฐาน 13.1เอเคอร์ ( 1 เอเคอร์ = 4046.86 ตารางเมตร ) ความสูงของปิรามิดถึงยอดเดิม 481.4 ฟุต ( ปัจจุบัน ได้ขาดหายไป 31 ฟุต )
- จำนวนหินที่นำมาใช้สร้าง ประมาณ 23,000,000 แท่ง น้ำหนักประมาณ 2.5 ตัน ต่อแท่ง แท่งหใญ่ที่สุดมี น้ำหนักถึง 15 ตัน หินที่นำมาสร้างถูกลำเลียงมาจากเมืองหินทางตอนใต้ของอียิปต์ดดยทางเรือ ตามแม่น้ำไนล์ ซึ่งในหน้าน้ำท่วมจะท่วมเข้าไปในบริเวณที่ราบห่างจาสถานที่สร้างปิรามิดประมาณ 1/4 ไมล์เท่านั้น และลำเลียงแท่งหินไปสู่สถานที่ก่อสร้างด้วยวิธีการใช้เครื่องมือลักษณะคล้ายแคร่เลื่อน ( Sled ) และชักลาก ไปด้วยเชือก
- ฐานของปิรามิดออกแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีความยาวด้านละประมาณ 756 ฟุต ผู้สร้างต้องการแสดงความรู้ เกี่ยวกับค่าทางคณิตศาสตร์คือถ้าเอา 2 เท่าของความสูงปิรามิดหารความยาวรอบฐานจะได้ค่า พาย อาร์ (เทียบกับวงกลมคือ สองเท่ารัศมีหารเส้นรอยวง ) แม้ว่าการวัดอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ก็ปรากฎว่าคลาดเคลื่อนไปเพียง 0.1 % เท่านั้นเอง
- เชื่อกันว่าปิรามิด มีความมหัศจรรย์สามารถรักษาสภาพของมัมมี่ให้อยู่ในสภาพที่ ไม่เน่าเปื่อย นอกจากนั้นยังสามารถรักษาวัตถุต่างๆให้คงทนได้เช่นเดียวกัน เคยมีการทดลองนำปิรามิดจำลองครอบใบมีดโกนที่ใช้จนทื่อ ปรากฎว่าใบมีดกลับ คมเหมือนเดิม
เทพเจ้าของชาวอียิปต์
คงไม่มีอารยธรรมโบราณใด ที่ผูกพันกับความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่หลากหลายเท่าชาวอียิปต์ เทพเจ้าของอียิปต์มักอยู่ในรูปของสัตว์นานาชนิดที่พบเห็นได้รอบๆตัว ต่างจากเทพเจ้าในจินตนาการของชาวกรีกและฮินดู หรือเทพเจ้าที่เกิดจากอิทธิพลของธรรมชาติ เช่น เทพแห่งลม เทพแห่งภูเขาไฟ ฯลฯ ของชาวเกาะทะเลใต้จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบ ชาวอียิปต์เริ่มมีความคิดเรื่องเทพเจ้ามาไม่น้อยกว่า 6,000 ปี เทพรุ่นแรกๆ จะเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เทพแห่งอาหารการกิน เช่นเดียวกับเทพรุ่นแรกๆของอารยะธรรมยุคเริ่มต้นอื่นๆ แต่เมื่ออียิปต์พัฒนาเข้าสู่ยุคฟาโรห์ เทพแห่งอียิปต์ก็พัฒนาซับซ้อนขึ้นเป็นลำดับ มีเทพประจำเมือง ประจำอาชีพ และเทพที่เคยใหญ่บางองค์ก็กลายเป็นเทพขั้นรองไปที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้ คือเทพที่ยังเหลือปรากฎให้คนในปัจจุบันได้พบเห็นในรูปของภาพวาด รูปปั้น เครื่องประดับ และงานศิลป์ต่างๆ หรือแม้แต่มัมมี่ของสัตว์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นตัวแทนเทพเจ้า และเป็นเทพองค์ “ดัง” ที่คนอียิปต์โบราณส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ
อามุน (หรืออาเมน อามอน) (AMUN /AMEN /AMON) เป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองธีบส์ มีรูปเป็นบุรุษเพศ เศียรประดับศิราภรณ์รูปขนนกยาว ยุคหลังพระนามเพี้ยนเป็น อาตอน หรือ อาเตน ในยุคของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 4 ได้ทรงพยายามให้คนอียิปต์ทั้งมวลหันมาเคารพเทพอาเตนเพียงองศ์เดียว ซึ่งนับเป็นความพยายามในการปฎิรูปความเชื่อครั้งยิ่งใหญ่ โดยฟาโรห์เองได้เปลี่ยนพระนามเป็น อัคนาเตน (Akhenaten) และฟาโรห์องศ์ต่อมาก็ทรงพระนามที่เกี่ยวข้อง คือ ตุตันคาเมน เป็นต้นอาเตน หรืออามุน ถือเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ ได้ถูกนำมารวมกับ


รา หรื อ เร กลายเป็นสุริยเทพซึ่งเป็นใหญ่เหนือเทพทั้งปวงรา หรือ เร (Ra / Re)เป็นเทพบิดรแห่งเทพทั้งปวง สัญลักษณ์ของพระองค์คือ รูปจานกลมแห่งดวงอาทิตย์ (Solar Disk) บางครั้งตั้งอยู่บนเรือ (Solar Boat) ที่พายเคลื่อนข้ามท้องฟ้าทุกวันๆ บางครั้งก็เป็นรูปเหยี่ยวที่มีจานกลมอยู่บนเศียร ในฐานะที่เหยี่ยวบินได้ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด






อซิริส(OSIRIS)เทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งยมโลก ฟาโรห์ที่สวรรคตจะทรงไปรวมกับโอซิริสในดินแดนหลังความตาย ในที่ฝังพระศพจะมีภาพโอซิริสเสมอ โอซิริสจะอยู่ในรูปบุรุษทรงเครื่องและมงกุฎของฟาโรห์ แต่มีผิวกายสีดำและถูกพันผ้าไว้แบบมัมมี่โอซิริส คือศูนย์กลางความเชื่อเรื่องการกลับฟื้นคืนชีพ เพราะตามตำนานโอซิริสถูกฆ่าโดยเซธ และถูกสับเป็นชิ้นๆ แต่ด้วยความรักของมเหสีเทวีไอซิส ผู้ตามเก็บรวบรวมพระศพมาต่อใหม่ ทำให้โอซิริสกลับฟื้นคืนมาได้อีก


ไอซีส(Isis)อัครเทวีที่คนอียิปต์ให้ความนับถือมากที่สุด เป็นเทวีแห่งความรัก และการอุทิศตนเพื่อสามีและบุตร และยังมีมนต์ และชื่อเสียงทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยไอซีมีพระรูปเป็นหญิงงาม ทรงเครื่องอย่างมเหสีแห่งฟาโรห์

ฮอรัส (Horus)โอรสแห่งโอซิริส และไอซีส ทรงสภาพเป็นนกเหยี่ยว เป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและถูกทียบเป็นองค์ฟาโรห์เมื่อยังทรงพระชนม์ จึงจะพบรูปสลักองค์ฟาโรห์มีเทพฮอรัสรวมอยู่ด้วยเสมอฮอรัส คือตัวแทนแห่งความฉลาดแหลมคม และมีดวงตาที่มองทะลุได้อย่างรู้แจ้งเห็นจริง



ฮาเธอร์ ( Hathor)เทวีผู้ให้ ผู้มีความเมตตา จะอยู่ในรูปของวัว หรือเทพีที่มีเขาวัวอยู่บนเศียร ในสมัยหนึ่งน่าจะเป็นองศ์เดียวกับไอซีส เพราะตำนานบางแห่งก็ว่าเป็นมารดาแห่งฮอรัส แต่ภายหลังได้แยกจากกัน คือให้ ไอซีเป็นมารดาแห่งฮอรัส แต่ฮาเธอร์เป็นแม่นม จึงปรากฎรูปฮาเธอร์ในลักษณะวัว กำลังให้นมฟาโรห์อยู่



เซธ (Seth) เทพแห่งพายุและความรุนแรง มีรูปเป็นหน้าสัตว์ที่น่าเกลียด เช่นหมู หรือลา ตามตำนานว่าเป็นอนุชาของโอซิริส ผู้เกลียดชังพี่ของตนเอง และเป็นผู้สังหารโอซิริสด้วย



ธอธ (Thoth)เทพผู้มีเศียรเป็นรูปนกกระเรียน เป็นเทพแห่งอาลักษณ์ เจ้าแห่งการอ่านและเขียนจะเป็นผู้บันทึกเรื่องราวต่างๆในการพิพากษาดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ



โซเบค (Sobek) เทพเจ้าแห่งลำน้ำ มีรูปเป็นจรเข้ เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ เพราะชีวิตของคนอียิปต์ขึ้นอยู่กับแม่น้ำไนล์มัมมี่จระเข้ของโซเบคจะพบได้ทั่วไปในเขตที่นับถือเทพองค์นี้ริม 2 ฝั่งแม่น้ำไนล์



บาสเตด (Bastet)เทวีผู้มีเศียรเป็นแมว ได้รับการเคารพนับถือมาก แมวนับว่าเป็นสัตว์ที่คนอียิปต์รักใคร่และคุ้นเคยมากที่สุด ดังนั้นมัมมี่แมวจึงมีเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีที่ฝังซากมัมมี่แมวโดยเฉพาะด้วย




ตัวเรต (Taweret)เทวีแห่งมารดา และหญิงมีครรภ์ บางครั้งก็ถือเป็นเทวีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเป็นผู้ให้กำเหนิ ตัวเรตมีรูปเป็นฮิปโปเตมัส รูปร่างอุ้ยอ้ายคล้ายหญิงมีครรภ์นั่นเอง



เซลเคต (Selket)เทวีผู้ปกป้องหลุมฝังศพ เป็นเทวีที่มีความดุร้ายน่ากลัว มีรูปเป็นหญิงสาวมีเศียรเป็นแมลงป่อง



เนคเบต (Nekhbet)เทวีแห่งอียิปต์บน มีรูปเป็นนกแร้ง ดังนั้นบนศิราภรณ์ของฟาโรห์ จึงมีเศียรของนกแร้งอยู่คู่กับงูเห่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์ล่าง



นัท หรือนุท (Nut)เป็นเทวีแห่งท้องฟ้า มีรูปเป็นผู้หญิงร่างของพระนางจะเปลือยก้มโค้งเป็นครึ่งวงกลม เหมือนท้องฟ้าที่โค้งอยู่เหนือโลก



วัดเจต(Wadjet)เทวีแห่งอียิปต์ล่าง มีรูปเป็นงูเห่า จะอยู่บนศิราภรณ์ของฟาโรห์คู่กับนกแร้ง เพื่อให้ความคุ้มครององค์ฟาโรห์เสมอ มะอาด(Maat)เทวีแห่งความเที่ยงแท้ ความยุติธรรม มีรูปเป็นหญิงสาวปักขนนกบนศิราภรณ์



เซคเมต (Sekhmet)เทวีผู้ดุร้าย คอยปกป้องเทพทั้งมวลโดยเฉพาะสุริยเทพ เป็นผู้นำความหายนะมาสู่ศัตรูผู้คิดร้ายกับสุริยเทพ มีรูปเป็นสิงโตตัวเมีย สวมศิราภรณ์รูปจานกลมแห่งดวงอาทิตย์




ปดาห์(Ptah)สุริยเทพในยามที่พระอาทิตย์ตกดินเป็นเทพแห่งความมือมิด บางครั้งถือเป็นเทพผู้คุ้มครองชีวิตหลังความตาย จึงมีรูปเป็นบุรุษที่ถูกพันผ้าไว้แบบมัมมี่ แต่ไม่ได้ทรงเครื่องเยี่ยงโอซิริส


อนูบิส (Anubis)เทพisแห่งความตาย และการจัดการพิธีศพ มีรูปเป็นหมาไน จะพบรูปอนูบิสในหลุมฝังศพ และที่ฝังพระศพทุกแห่งข้อมูล



ปิรามิด
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 ด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาปิรามิด ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของฟาโหร์คีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
http://ecurriculum.mv.ac.th/library2/histrory/woldhistory2/Egypt.html
http://elibrary.eduzones.com/index.php
http://www.bloggang.com/viewblog.php

ประวัติศาสตร์อียิปที่ดิฉันนำเสนอมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีประวัติศาสตร์อีกหลายอย่างที่รอการพิสูจน์ไม่ได้มีแต่ประวัติศาสตร์ของอียิปเท่านั้น แต่หมายถึงประวัติศาสตร์ทั้วโลก เพราะว่าการศึกษาประวัติศาสตร์จะนำพวกเราไปสุ่อนาคต

22 ส.ค. 2551

การปรับเวลาใหม่ของประเทศไทย

ไทยเตรียมปรับเวลาตั้งตามมาตรฐานสากล 23ส.ค.
วันนี้ (6 ส.ค.) พล.อ.ต.ดร.เพียร โตท่าโรง ผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติจะปรับเปลี่ยนเวลาของประเทศไทยใหม่ทั่วประเทศ เพื่อให้ถูกต้องแม่นยำตามหลักสากล ตามประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบ 4 ประเภท
ต้องปฏิบัติตาม คือ
1. ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและกิจการกระจายภาพและเสียง อาทิ ผู้ให้บริการโทรศัพท์ขั้นพื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้ให้บริการเอทีเอ็ม เป็นต้น
2. ผู้ให้บริการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาทิ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต เจ้าของหอพัก โรงแรม หน่วยราชการ บริษัทต่างๆ เป็นต้น
3ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์
4.ผู้ให้บริการร้านอินเตอร์เน็ตต่างๆผู้ให้บริการทั้งหมดต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของกระทรวงไอซีที มีโทษปรับ 1-5 แสนบาท
นอกจากนี้ ประชาชนที่ต้องการตั้งเวลาให้เป็นมาตรฐาน ได้ประสานกับกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เพื่อตั้งเวลามาตรฐานสำหรับประเทศไทยแล้ว พร้อมประสานกับกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เทียบเวลาผ่านทางสถานีวิทยุเอฟเอ็มได้.
"การปรับเปลี่ยนเวลาใหม่ครั้งนี้ ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะทุกคนต้องการความแม่นยำ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูล เรื่องของความมั่นคง เรื่องของสุขภาพ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ บริษัทกระจกไทยอาซาฮี จำกัด มหาชน พวกสัญญาณดาวเทียม วิศวกรที่อาศัยอยู่บ้านฟาร์มเฮ้าส์ และที่สำคัญงานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยแกะรอยของอาชญากรรม และสามารถใช้เป็นหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิดได้ โดยมีเวลาเป็นเครื่องยืนยันการกระทำ เห็นได้ชัดจากกรณีใบแดงของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หลักฐานสำคัญก็มาจากเรื่องของเวลา" พล.อ.ต.ดร.เพียร กล่าว และว่า ที่ผ่านมาเวลาของประเทศไทยไม่มีมาตรฐานแน่นอน และไม่ตรงกัน เห็นได้ชัดเจนที่สุดช่วง 08.00 น. และ 18.00 น. ที่เป็นช่วงเคารพธงชาติ แต่ละจังหวัดเวลาเคารพธงชาติจะไม่เท่ากันเลย แม้กระทั่งฟรีทีวีในบ้านเมืองก็ยังมีเวลาไม่ตรงกัน

15 ส.ค. 2551

เหรียญโอลิมปิกและพิธีเปิด

สวัสดีค่ะ ดิฉัน lixiang วันนี้ดิฉันจะพาไปชมภาพของเหรียญ สัญลักษณ์โอลิมปิก2008 พิธีเปิดโอลิมปิก2008 ค่ะ
กีฬาที่ใชในการแข่งขันโอลิมปิก 2008
กระโดดน้ำ กรีฑา ขี่ม้า แคนู จักรยาน ซอฟท์บอล ไตรกีฬา เทควันโด เทนนิส บาสเกตบอล เบสบอล แบดมินตัน เบญจกีฬาสมัยใหม่ เทเบิลเทนนิส โปโลน้ำ ฟันดาบ ฟุตบอล มวยปล้ำ มวยสากลสมัครเล่น ยกน้ำหนัก ยูโด ยิงธนู ยิงปืน ยิมนาสติก ระบำใต้น้ำ เรือใบ เรือพาย ว่ายน้ำ วอลเลย์บอล แฮนด์บอล ฮอกกี้
ด้านหน้าและด้านหลังของเหรียญทอง, เงิน, ทองแดง ส่วนขอบขาวและเขียวที่เห็นด้านหลังของเหรียญคือ หยก

เหรียญทอง


















เหรียญเงิน

















เหรียญทองแดง

















สัญลักษณ์ของโอลิมปิก2008


Dancing Beijing" หรือ ''ปักกิ่งเริงระบำ'' จำลองรูปแบบจากตราประทับจีนโบราณ ซึ่งตราประทับนี้ส่วนพื้นเป็นสีแดง ส่วนอักษรแกะสลักเป็นตัว ‘จิง京’ ซึ่งหมายถึงเป่ยจิง(ปักกิ่ง) อีกทั้งมีลักษณะคล้ายตัวอักษร ‘เหวิน文’ ซึ่งหมายถึงอารยธรรมที่สืบถอดมายาวนานของชนชาติจีน นอกจากนั้น ตัวอักษรที่ปรากฏยังเป็นลักษณะท่าทางของคนที่วิ่งไปข้างหน้าขณะกำลังยินดีที่ได้รับ ชัยชนะด้านล่างตราประทับเป็นอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนจากปลายพู่กันจีน คำว่า ‘ Beijing 2008 ’ ถัดลงไปเป็นสัญลักษณ์ 5 ห่วงของโอลิมปิก



พิธีเปิดโอลิมปิก2008







ตัวอย่างบัตรเข้าชมโอลิมปิก2008

ฮีโร่ของคนไทย
"น้องเก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ฮีโร่เหรียญทองรุ่น 53 กก. จากศึกโอลิมปิก 2008 ซึ่งเป็เหรียญเดียวของทัพนักกีฬาไทยในขณะนี้เดินทางกลับถึงประเทศไทยพร้อม ทีมยกลูกเหล็กเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา

ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ฮีโร่เหรียญทองรุ่น 53 กก. พร้อมทัพยกลูกเหล็กไทยได้เดินทางกลับกึงบ้านเกิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเที่ยวบิน ทีจี 675 โดยแตะรันเวย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 12.15 น. ที่ผ่านมา

สำหรับบรรยาศที่สนามบินเต็มไปด้วยความคึกคักของแฟนกีฬาที่แห่กันมา รอต้อนรับฮีโร่สาวเมืองปากน้ำโพอย่างเนืองแน่นโดยทาง จ.นครสวรรค์ มากันถึง 7 คันรถบัส

จากนั้นทางครอบครัวของ น้องเก๋ นำโดยคุณพ่อ จันทร์แก้ว เจริญรัตนธารากูล และ คุณแม่ พร้อมด้วยน้องสาว ได้เดินทางขึ้นไปรับ น้องเก๋ ถึงบนเครื่องบิน โดยคุณพ่อได้ถือน้ำพริกอ่อง มา1ถุงใหญ่เพื่อนำไปฝากให้ลูกสาวด้วยความคิดถึง และทันทีที่พบกันทั้งหมดต่างโผเข้ากอดท่ามกลางความประทับใจของหลายคน

ซึ่ง ประภาวดี ได้กล่าวในช่วงแรกสั้นๆ "ขอให้ทุกคนเข้าใจช่วงนี้ เก๋ ยังมีหน้าที่ยังมีภารกิจยังไม่สามารถไปฉลองกับใครได้ซึ่งรอให้ทัพนักกีฬา ทั้งหมดเสร็จหน้าที่กลับมาทั้งหมดแล้วตนเองจะไปฉลองเต็มที่กับทุกคนอย่างแน่ นอน"
จากนั้นจึงเป็นกิจกรรมต่างๆ ที่สมาคมจัดไว้รอต้อนรับและโปรแกรมต่อไปในช่วงเย็น น้องเก๋ พร้อมด้วยนักกีฬายกน้ำหนักจะเดินทางกลับเชียงใหม่ในช่วงเย็นของวันนี้



8 ส.ค. 2551


ตัวมาสคอตโอลิมปิก2008
โอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ในวันที่ 8 เดือนสิงหาคม (8) ค.ศ. 2008
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กีฬานั่นก็คือ มาสคอตสัญลักษณ์ประจำการแข่งขันนั้นเอง เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ห้าห่วงของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่นำเสนอผ่านสีและแรงบันดาลใจ “ฝูหวา” (Fuwa) มาสคอตประจำโอลิมปิกปี 2008 ที่กรุงปักกิ่งนั้นได้นำสานส์แห่งมิตรภาพและความสงบสุขพร้อมกับคำอวยพรจากประเทศจีนส่งผ่านไปยังเด็กๆ ทุกคนทั่วโลกเชียวล่ะ
มาสคอตทั้งห้าถูกนำเสนอผ่านความน่ารักของเด็กๆ ในรูปแบบของ สัตว์สำคัญ 4 ชนิดในประเทศจีนอันได้แก่ ปลา แพนด้า ละมั่งทิเบต (Tibetan Antelope) นกนางแอ่น และเปลวไฟโอลิมปิก
โดยแต่ละตัวมีชื่อเรียกน่ารักน่าหยิกดังนั้น เจ้าปลายน้อยมีชื่อว่า “เป้ยเป้ย”, ส่วนแพนด้าตากลมชื่อว่า “จิงจิง”, “ฮวนฮวน” เป็นพี่ใหญ่ ตัวแทนเปลวไฟแห่งโอลิมปิก, “อิ๋งอิ๋ง” คือละมั่งทิเบต และนกนางแอ่นมีชื่อว่า “นีนี”
ที่เก๋ไปกว่านั้นเมื่อนำชื่อทั้งห้ามารวมกัน “เป่ย จิง หวน หยิง หนี่” (Bei Jing Huan Ying Ni) จะแปลได้ว่า “ปักกิ่งยินดีต้อนรับ” (Welcome to Beijing) ฝูหวาจึงไม่ใช่เพียงมาสคอต หากเป็นทูตสันถวไมตรีตัวน้อยจากจีนที่ส่งคำเชิญไปยังทุกประเทศทั่วโลกนั่นเอง
อ๊ะๆ แต่ว่าเจ้าฝูหวาไม่ได้ไฮโซแค่นี้นะคะ เพราะทั้งห้ายังเป็นตัวแทนทิวทัศน์อันสวยงาม ความฝัน และความปรารถนาของชาวจีน หากสังเกตที่หมวกเกราะของแต่ละตัว เพื่อนๆ จะเห็นตัวแทนของธรรมชาติ อันได้แก่ น้ำ(sea), ป่าไม้(forest,) ไฟ(fire), ดิน(earth), และอากาศ(sky) อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีอิทธพลในศิลปะพื้นบ้านของชาวจีนมาเป็นเวลายาวนานด้วย
ของเขาไม่ธรรมดาๆ จริงๆ
เอาล่ะ เรามาทำความรู้จักฝูหวาแต่ละตัวกันดีกว่าค่ะ


เป้ยเป้ย (Beibei)
ตามความเชื่อของจีน ปลาและน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์ เป้ยเป้ยจึงนำพรขอนี้ไปมอบแก่ทุกคน และยังเป็นตัวแทนของปีที่ดีและชีวิตที่ดีอีกด้วย
บนหมวกเกราะของเป้ยเป้ยนั้นแสดงถึงเส้นสายของคลื่นและลายน้ำอันเป็นที่รู้จักกันดีในภาพวาดของจีนมาแต่ช้านาน
ในบรรดาฝูหวาทั้งห้า หนูเป้ยเป้ยจึงเป็นตัวแทนแห่งความอ่อนน้อมและบริสุทธิ์สดใส เธอเก่งกีฬาทางน้ำเป็นที่สุด ตัวแทนห่วงโอลิมปิกสีฟ้า


จิงจิง (JingJing)
อย่างที่รู้กันว่าแพนด้าที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูนั้นเป็นทั้งสัตว์สงวนและสมบัติของชาวจีน จิงจิง แพนด้าน้อยจึงทำให้เด็กๆ ยิ้มได้เสมอ เขานำความสุขไปยังทุกหนทุนแห่ง เขาเต้นอย่างมีชีวิตชีวา พร้อมกับหูกลมๆ ที่ขยับไปมาดูน่าเอ็นดู
รูปดอกบัวบนหมวกเกราะของจิงจิงนั้นได้แรงบันดาลใจมากจากภาพวาดบนถ้วยชามลายครามสมัยราชวงศ์ซ่ง (ก่อนคริสตศักราช 960-1234) ซึ่งเป็นตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้และความสัมพันธ์อันดีระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ จิงจิงนั่นคือสื่อแสดงถึงความปรารถนาในการที่จะปกป้องธรรมชาติ และอนุรักษ์ ความงดงามนั้นไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
เจ้าจิงจิงเป็นแพนด้าที่มองโลกในแง่ดี เขาเก่งเรื่องในการใช้กำลัง(ในทางที่ดี) และเป็นตัวแทนของห่วงโอลิมปิกสีดำ


ฮวนฮวน (HuanHuan)
ฮวนอวน พี่ใหญ่ เป็นลูกพระเพลิง สัญลักษณ์เเปลวไฟโอลิมปิกและความรักในการแข่งขัน ลูกพี่ฮวนนั้น วิ่งได้เร็ว กระโดดได้ไกล และแข็งแรงเป็นที่สุด เขาเป็นคนเปิดเผยและเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อดวงไฟส่องแสงเปล่งประกาย คำเชิญอันอบอุ่นจากปักกั่งและคำอวยพรจากชาวจีนจะส่งไปไกลถึงทุกๆ คน
ลักษณะดวงไฟบนหมวกเกราะของฮวนฮวน นั้นได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดบนฝาผนังใน DunHuang ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี

ลูกพี่ฮวนเป็นคนสนุกสนาน กระตือรือร้น ชอบกีฬาเกี่ยวกับลูกบอล และเป็นตัวแทนของห่วงโอลิมปิกสีแดง

อิ๋งอิ๋ง (YingYing)
ละมั่งน้อยผู้มีความปราดเปรียวว่องไว วิ่งไปทั่วแดน เป็นตัวแทนของดินหรือแผ่นดินจีนนั่นเอง อิ๋งอิ๋ง นำความแข็งแรง มีสุขภาพดี ไปมอบแก่ทุกคนนะจ๊ะ
ท่าท่างคล่องแคล้วของอิ๋งอิ๋งนั้นเป็นลักษณะเฉพาะของละมั่งบนที่ราบสูงทิเบตซึ่งได้รับความคุ้มครองในประเทศจีน หมวกเกราะของเขานั้นเป็นการผสมผสานศิลปะของทิเบตและซิงเกียงรวมถึงวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยทางฝั่งตะวันตกของประเทศจีน
อิ๋งอิ๋งนั้นเก่งในทางกรีฑาทั้งลู่และลาน ด้วยความรวดเร็วว่องไวของเขา อันเป็นตัวแทนของห่วงโอลิมปิกสีเหลือง

นีนี (NiNi)
ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของจีน เด็กๆ ในกรุงปักกิ่งมักจะออกมาเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน ในบรรดาว่าวเหล่านั้น ว่าวรูปนกนางแอ่นปีกสีทองเป็นหนึ่งในว่าวที่ได้รับความนิยมที่สุด
หมวกเกราะรูปปีกสีทองนั้นพานีนีบินไปทั่วทุกหนแห่ง โบกสะบัดนำโชคดีให้แก่ทุกคน นีนีนั้นเป็นเด็กน่ารักสดใส ร่าเริงดุจนกนางแอ่น เธอเก่งในเรื่องยิมนาสติกและเป็นตัวแทนของห่วงโอลิมปิกสีเขียวนั่นเอง